วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2557

(...ภาคต่อมา...)
ผลกระทบที่เกิดจาก Convective Clouds
          ในช่วงของฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ( Southwest Monsoon ) ของประเทศไทย
 ซึ่งจะเริ่มในประมาณเดือน พฤษภาคม (กำลังใกล้จะมาถึงอีกแล้ว) พายุฝนฟ้าคะนอง
ที่เกิดจากการก่อตัวของเมฆที่ก่อตัวในทางตั้ง ( Convective Clouds ) มักปรากฏขึ้น
ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ถึงด้านตะวันตก ของกรุงเทพมหานคร รวมทั้งบริเวณ
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และจะเคลื่อนที่เข้ามากระทบถึงในช่วงบ่าย-ค่ำ
  • จากภาพด้านบนจะบอกอะไรแก่เราได้บ้าง?
           พบมีกลุ่มฝนฟ้าคะนองปกคลุมในบริเวณกรุงเทพฯฝั่งตะวันตก และมีทิศทางการ
เคลื่อนตัวมาทางตะวันออกเข้าสู่กรุงเทพฯชั้นใน และมีผลกระทบถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้
  • ดูภาพถัดไปด้านล่าง ก็จะเป็นคำตอบ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง?


         ทิศทางการเคลื่อนตัวของกลุ่มฝนฟ้าคะนองจะมีผลกระทบถึงเขตท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า โดยจะมีกระแสลมกระโชกแรง ( Gust Front ) โดยคาดว่าจะเป็นกระแสลมในทิศตะวันตก ( Westerly Wind )ถึงตะวันตกเฉียงเหนือเฉียงเหนือ ( North-westerly Wind ) มาเป็นลำดับแรก ก่อนที่จะตามมาด้วยฝนฟ้าคะนองกำลังแรง ( Heavy Thunderstorm Rain ) ในลำดับต่อไป

  • บ่งบอกคุณลักษณะกลุ่มฝนได้อย่างไรบ้าง
รูปที่1 ภาพผลการตรวจชนิด PPI-Intensity 
        

    เมื่อเรดาร์ตรวจอากาศ ทำการตรวจพบกลุ่มฝนปรากฏขึ้นในบริเวณใดๆแล้ว เราจะสามารถรู้ต่อไปได้อย่างไร ถึงคุณลักษณะของกลุ่มฝนนั้นๆ ว่าอยู่ในสถานะใด มีแนวโน้มต่อไปอย่างไร ดังภาพด้านล่างนี้ จะพบกลุ่มฝนในพื้นที่เขตติดต่อระหว่าง จ.ชลบุรี กับ จ.ฉะเชิงเทรา













 

          ภาพผลการตรวจชนิดที่เรียกว่า PPI-Intensity ( รูปที่ 1 ) เราจะสามารถบอกได้ว่ามีฝนกำลังอ่อนถึงปานกลาง ตกอยู่ในพื้นที่ที่ภาพแสดงผลการสะท้อนของสัญญาณออกมาเป็นเฉดสี เขียว-เหลือง (ฝนกำลังอ่อนถึงปานกลาง) แต่ไม่อาจจะรู้ต่อไปได้ว่า ฝนกลุ่มนี้มีคุณสมบัติ เป็นอย่างไรในช่วงถัดจากนี้ไป 1-2 ชั่วโมงข้างหน้า เช่น จะเคลื่อนตัวไปทิศทางไหน มีแนวโน้มการพัฒนาอย่างไร (กำลังแรงขึ้นหรือ อ่อนกำลังลง)
           แต่หากว่าเรามีภาพผลการตรวจชนิดที่เป็น PPI-Velocity (รูปที่ 2 ) มาประกอบด้วยแล้ว เราจะสามารถบ่งบอกถึงคุณลักษณะ ของกลุ่มฝนนั้นได้มากขึ้นกว่าเดิม อย่างชัดเจน ว่ากลุ่มฝนนี้มีสถานะเป็นเช่นไร มีแนวโน้มไปอย่างไร

รูปที่2 ภาพผลการตรวจชนิด PPI-Velocity
         รูปที่ 2 จะพบว่าจากภาพผลการตรวจกลุ่มฝนในโหมด Velocity เพื่อตรวจจับการเคลื่อนที่ของอนุภาคของหยดน้ำฝน โดยเทียบจากแถบสี (โทนเย็น-สีน้ำเงินเคลื่อนเข้าหาสถานีเรดาร์ / โทนร้อน-สีแดงเคลื่อนที่ห่างออกจากสถานีตรวจเรดาร์ ) ปรากฏว่ามีกลุ่มฝนที่มีอนุภาคของหยดน้ำฝนทั้งเคลื่อนเข้าหาและเคลื่อนห่างออกไปจากสถานีตรวจเรดาร์ แต่ที่เราควรมุ่งเน้นให้ความสนใจเป็นพิเศษก็คือลักษณะที่มีทั้งการเคลื่อนเข้าหาและเคลื่อนออกไปอยู่ร่วมกันในพื้นที่แคบๆ นั่นจะเป็นการบ่งชี้สถานะของกลุ่มฝนในบริเวณพื้นที่นั้นได้ว่าเป็นอย่างไร ว่ามีกระแสลมกระโชกแรงหรือลักษณะที่เป็นปรากฏการณ์ Downdraft ขึ้นได้ หรืออาจเป็นการบ่งบอกลักษณะของการเกิด  Circulation ขึ้นภายในกลุ่มฝนแสดงว่าแนวโน้มของกลุ่มฝนบริเวณนั้นจะทวีกำลังแรงขึ้นต่อไปได้อีก


รูปที่3 ภาพผลการตรวจชนิด PPI-Intensity

รูปที่4 ภาพผลการตรวจชนิด PPI-Velocity

          เมื่อวิเคราะห์จากผลการตรวจกลุ่มฝนในโหมด Velocity ในรูปที่4 จะพบว่า
กลุ่มฝนในเขตบริเวณระหว่าง อ.พนมสารคามกับ อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา
 มีแนวทิศทางการเคลื่อนที่ของอนุภาคหยดน้ำฝนแยกออกในต่างทิศทางกัน
อย่างชัดเจน (โทนสีฟ้า-โทนสีเหลือง) แสดงให้เห็นถึงปรากฏการณ์ ภายใน
กลุ่มฝนนี้ ว่ามีการแผ่กระจายออกเป็นลักษณะของ Downdraft ซึ่งเป็นการบ่งชี้ว่า
กลุ่มเมฆฝนฟ้าคะนองที่เป็น Convective Clouds กลุ่มนี้อยู่ในสภาวะขั้นสุดท้าย
(สลายตัว) ดังนั้นทำให้เราสามารถที่จะประเมินลักษณะของฝนกลุ่มนี้ได้ว่า
มีแนวโน้มความรุนแรงลดลงในเวลาต่อไป ดังเห็นได้จากผลการตรวจในรูปที่ 5 



รูปที่5 ภาพผลการตรวจชนิด PPI-Intensity


         หรือหากเป็นไปได้จะมีภาพผลการตรวจอีกชนิดหนึ่งที่สามารถใช้ได้อย่างดีก็คือ การตรวจแบบ RHI ( Range Height Indicator) ซึ่งจะทำให้ทราบถึงลักษณะโครงสร้างภายในกลุ่มเซลฝนได้อย่างชัดเจน
         สำหรับนักพยากรณ์อากาศการบินแล้ว เมื่อวิเคราะห์ผลการตรวจสภาวะฝนด้วยเรดาร์ตรวจอากาศได้อย่างเข้าใจแล้วสามารถจะทำการคาดหมายแนวโน้มสำหรับพื้นที่สนามบินได้อย่างทันเหตุการณ์ ดังแสดงตามกรณีตัวอย่างเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2550

รูปที่6 แนวกระแสลมกระโชกจากการตรวจกลุ่มฝนในโหมด Velocity เมื่อ วันที่ 31 กรกฎาคม 2550 เวลา 10:50 UTC
          ในรูปที่6 จะเห็นว่าจากผลการตรวจสภาวะฝนด้วยเรดาร์ตรวจอากาศ ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2550 เวลา 10:50 UTC วิเคราะห์ได้เป็นกลุ่มฝนฟ้าคะนองปกคลุมพื้นที่ กรุงเทพฯ ชั้นใน รวมไปถึงเขตปริมณฑล ด้านทิศตะวันตกถึงตะวันตกเฉียงเหนือของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จากภาพการตรวจ กลุ่มฝนในโหมด Velocity จะวิเคราะห์ได้ถึงแนวของลมกระโชกแรงด้านหน้าเซลล์กลุ่มฝนเป็นแนวยาวเล็กๆ (ตามแนวแถบเขียวที่ทำให้ชัดเจนขึ้น) เราสามารถทำการคาดหมายได้ว่า ในช่วงเวลาต่อไปจากนี้ จะมีกระแสลมกระโชก ( Gust Front ) มากระทบถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยที่น่าจะเป็นลมในทิศทางด้านตะวันตกถึงตะวันตกเฉียงเหนือ อย่างแน่นอนโดยออกพยากรณ์ลักษณะอากาศปัจจุบันต่อท้ายรายงานการตรวจอากาศประจำสนามบินของเจ้าพนักงานอุตุนิยมวิทยาการบิน ต่อท้ายรายงานผลการตรวจอากาศ ในเวลา 1100 UTC ซึ่งสภาพอากาศเดิมที่เห็นว่ามีลมฝ่ายใต้พัดปกคลุมในพื้นที่สนามบินอยู่ เพื่อเป็นการแจ้งเตือนให้แก่นักบินและผู้ปฏิบัติงานด้านการบินโดยผ่านการสื่อสารเครือข่าย AFTN ของบริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทยได้ทราบต่อไป



รูปที่7  กลุ่มฝน ในโหมด Velocity เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2550 เวลา 11:20 UTC 


          จากผลการตรวจสภาวะฝนด้วยเรดาร์ เวลา 11:20 UTC ในรูปที่7 ได้พบว่ากลุ่มฝนได้เคลื่อนตัวมาในระยะประชิดพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิแล้ว





รูปที่8  รายงานผลการตรวจอากาศ ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 
วันที่ 31 กรกฎาคม 2550 ในช่วงเวลา 1100 - 1130 UTC

          ดังตัวอย่างในรูปที่ 8 และต่อมาเมื่อแนวกระแสลมกระโชกแรงเข้ามากระทบ
พื้นทีสนามบิน เจ้าหน้าที่ได้ออกรายงานผลการตรวจอากาศพิเศษ (SPECI ) ในเวลา 1122UTC จะเห็นว่ามีกระแสลมกระโชกแรงและลมเปลี่ยนทิศทางเป็นลมตะวันตก-
เฉียงเหนือและเข้ามากระทบถึงสนามบินแล้ว

 (รอเพิ่มเติมตอนต่อไป)

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก